จักรพรรดิพอลล์ที่ 1 แห่งรัสเซีย (รัสเซีย: ?????? I ?????????; Pavel Petrovich; อังกฤษ: Paul I of Russia) (พระราชสมภพ: 1 ตุลาคม (นับตามแบบเก่า: 20 กันยายน) พ.ศ. 2297 - 23 มีนาคม (นับตามแบบเก่า: 11 มีนาคม) พ.ศ. 2344) ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ. 2339 - พ.ศ. 2344 (5 ปี) สวรรคตโดยถูกปลงประชนม์ขณะครองราชย์ พระโอรสของพระองค์ จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1 จึงขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์
พระองค์พระราชสมภพ ณ พระตำหนักของพระอัยยิกา จักรพรรดินีนาถเอลิซาเบธ ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 3 กับจักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2 ในความทรงจำช่วงวัยเยาว์ของพระองค์ พระราชมารดาของพระองค์ทรงบ่งชี้เป็นนัยมากมายว่าพระราชบิดาของพระองค์ไม่ใช่ จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 3 แต่เป็นชู้รักของพระมารดานั้นคือ เชิร์จ ซัลตีคอฟ ขุนนางในราชสำนัก ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนแคทเธอรีนอ้างว่าจักรพรรดิปีเตอร์ทรงเป็นหมันโดยไม่มีหลักฐานใดอ้างอิงถึง อีกทั้งยังอ้างว่าพระองค์ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับแคทเธอรีนตั้งแต่หมั้นกันจนกระทั่งปีเตอร์เข้ารับการผ่าตัด จึงทำให้พระองค์จะไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ฝ่ายผู้ที่ต่อต้านพอลล์ได้ใช้โจมตีพระองค์ ซึ่งสามารถทำให้พระองค์พ้นจากความเป็นรัชทายาทได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากข้อสงสัยในสายเลือดกษัตริย์และสิทธิอันชอบธรรมในการขึ้นเสวยราชย์ของพระองค์ แคทเธอรีนจึงตอบโต้โดยใช้ข้ออ้างที่คลุมเคลือว่าสรีระของพอลล์ละม้ายคล้ายคลึงกับปีเตอร์ แม้กระนั้นก็ตามยังมีข้อสงสัยถึงข้ออ้างเกี่ยวกับบุตรนอกสมรสตามมา
ในช่วงครั้งยังเป็นทารกพอลล์ได้รับความเอาใจใส่โดยพระราชมารดาโดยพระอัยยิกาเอลิซาเบธ คอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งถูกโรคร้ายลงโทษในภายหลัง ในขณะที่ยังเป็นเด็กพระองค์ถูกเล่าขานว่าทรงมีไหวพริบที่ดีและบุคลิกภาพที่เยี่ยมยอด ต่อมาพระนาสิก (จมูก) ของพระองค์หัก ทำให้ใบหน้าของพระองค์อัปลักษณ์ ที่ต่อมาพระองค์อ้างว่าเป็นผลมาจากโรคไข้รากสาดใหญ่ที่พระองค์ประชวรอย่างทรมานใน พ.ศ. 2314 ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้พระราชมารดาทรงเกลียดพระองค์ อีกทั้งยังมีผู้ที่หมายปองจะกำจัดพระองค์ และในช่วงวัยเยาว์นี้เองที่พระองค์ต้องทนอยู่กับความกลัวที่ว่าการลอบปลงพระชนม์จะมาถึงพระองค์ ถึงแม่แคทเธอรีนจะเห็นว่าพระองค์อ่อนแอไม่เหมาะจะขึ้นครองราชย์ แต่ด้วยความที่แคทเธอรีนเป็นผู้ซึ่งมีจิตใจรักเด็กอยู่แล้ว จึงปฏิบัติต่อพอลล์อย่างเมตตา พระองค์ถูกมองว่าเหลวไหลในงานราชการต่าง ๆ และตั้งข้อกังขาถึงอนาคตพระจักรพรรดิแห่งรัสเซีย ต่อมาเมื่อพระชนมายุมากขึ้นพระราชมารดาก็ได้นำภาระและความลำบากมาสู่พระองค์เมื่อพระราชมารดาจัดการอภิเษกสมรสครั้งแรกของพระองค์กับ วิลเฮล์มมิน่า ลุยซ่า ธิดาใน ลุดวิกที่ 4 แลนด์เกรฟแห่งเฮสส์-ดาร์มสตาดต์ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนพระนามเป็น เจ้าหญิงนาตาเลีย อเล็กเซเยฟน่าแห่งรัสเซีย ซึ่งต่อมาทรงสิ้นพระชนม์ก่อนจะพระราชสวามีจะได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตื และพระองค์อภิเษกสมรสอีกครั้งกับ เจ้าหญิงโซฟี โดโรเธียแห่งเวือร์ทเท็มแบร์ก ผู้ซึ่งเป็นพระจักรพรรดินีมเหสีในภายหลัง
พระองค์ขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชมาดา จากการที่พระราชมารดาเกิดอาการโรคหลอดเลือดสมอง ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2339 และสวรรคตบนแท่นบรรทมอย่างสงบหลังจากฟื้นสติขึ้นมาได้ไม่นาน การกระทำแรกของพระองค์ในการเป็นพระจักรพรรดิคือการสั่งให้ไต่สวนเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่าพระราชมารดาสวรรคตจริงจึงได้ออกคำสั่งให้ทำลายพินัยกรรมของพระมารดาทิ้ง ซึ่งเป็นที่กล่าวลือกันว่าพินัยกรรมฉบับนี้เขียนขึ้นจากความปรารถนาที่แคทเธอรีนต้องการจะกีดกันพระองค์จากราชบัลลังก์รัสเซียและยกให้อเล็กซานเดอร์ พระนัดดาพระองค์โตแทน ซึ่งจากความกลัวนี้เองที่น่าจะทำให้พระองค์ประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์รัสเซียปี พ.ศ. 2340 หรือเป็นที่รู้จักในนาม "กฎหมายพอลล์ไลน์" เพื่อเป็นการจำกัดหลักในการสรรหารัชทายาทขึ้นสืบราชบัลลังก์ในราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยรัชทายาทของพระองค์เลย
ช่วงปีแรกในรัชกาลของพระองค์ พระองค์ได้ปรับเปลี่ยนโยบายของพระราชมารดามากมายอย่างตรงกันข้ามและสุดโต่ง ถึงแม้พระองค์จะตั้งข้อหาอาญาต่อพวกลัทธิรุนแรง (Jacobinism) และเนรเทศผู้คนเพียงเพราะสวมใสเสื้อผ้าตามแบบชาวปารีสหรือผู้คนที่อ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศส และประกาศอภัยโทษแก่ อเล็กซานเดอร์ ราดิชเชฟ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไปในฐานะนักวิจารณ์ที่ชอบวิจารณ์การทำงานของแคทเธอรีน จนถูกจับและเนรเทศไปยังไซบีเรีย ทางด้านการทหาร ขณะกองกำลังทหารกลำงเข้าจู่โจมเปอร์เซีย ซึ่งเป็นพระราชประสงค์ชิ้นสุดท้ายของพระราชมารดาเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-เปอร์เซีย ก็ถูกเรียกกลับมายังเมืองหลวงภายในหนึ่งเดือนของการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระองค์ พระศพของพระราชบิดาปีเตอร์ก็ถูกขุดขึ้นมาเพื่อทำพิธีฝังพระศพใหม่อย่างเอิกเกริก ณ สุสานหลวงใน โบสถ์ปีเตอร์แอนด์พอลล์ เพื่อเป็นการกลบข่าวลือเรื่องฐานะบุตรนอกสมรสของพระองค์ นอกจจกานี้พอลล์ต้องรับผิดชอบการเดินตรวจแถวสวนสนามซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่ตกทอดมาจากจักรพรรดิปีเตอร์มหาราช จารึกบนอนุสาวรีย์ปฐมจักรพรรดิแห่งรัสเซียถูกสถาปนาขึ้นในช่วงรัชกาลของพอลล์ใกล้ ๆ กลับพระตำหนักเซนต์ไมเคิลโดยเป็นภาษารัสเซีย แปลในภาษาอังกฤษว่า "To the Great-Grandfather from the Great-Grandson" ("แด่พระบรมปัยยิกาเจ้าจากพระบรมปนัดดา") ซึ่งมีความหมายเป็นนัย ๆ แต่ที่ปรากฏเด่นชัดคือคำเยาะเย้ยในภาษาละตินที่ว่า "PETRO PRIMO CATHERINA SECUNDA" ซึ่งเป็นคำจารึกอุทิศที่รู้จักไปทั่วสลักใต้อนุสาวรีย์ชายขี่ม้าสีเงิน ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่โด่งดังที่สุดของปีเตอร์มหาราชในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
จักรพรรดิพอลล์ที่ 1 และราชินีมาเรีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย มีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสิ้น 10 พระองค์ ดังนี้
ความเป็นอสระในกานดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศของพระองค์ฉุดรั้งให้จักรวรรดิรัสเซียต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ในสงครามสัมพันธมิตรครั้งที่สองเพื่อต่อต้านฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2341 พระองค์ได้ส่งนายพลซูวารอฟไปปะทะกับนโปเลียนที่สวิตเซอร์แลนด์ และส่งนายพลยูชาคอฟไปช่วยปฏิบัติการของเนลสันในแถบเมดิเตอร์เรเนียน หลังจากต้องอดทนผจญกับความยากลำบากในการรบจนได้รับชัยชนะจากกองกำลังที่ส่งไปทั้งสอง พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยกะทันหันโดยออกคำสั่งให้เหล่าทัพต่าง ๆ มุ่งทัพเข้าโจมตีสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2344 ซึ่งก่อนหน้านี้พระองค์ทรงทะเลาะกับฝรั่งเศสต่อมาก็กับอังกฤษหลังจากที่อังกฤษเข้ายึดมอลตาได้ อีกทั้งยังทรงละเลยกับแผนที่จะเข้าร่วมทำสงครามด้วยกันกับนาวิกโยธินฝรั่งเศส และความโง่เขลาของพระองค์อีกครั้งหนึ่งคือการส่งกองทหารม้าคอสเซคไปโจมตีกองทัพอังกฤษที่อินเดีย
ลางสังหรณ์ถึงการถูกลอบปลงพระชนม์ของพระองค์มีมานานแล้ว พระองค์ทรงกำจัดขุนนางที่มีท่าที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ และอุปการะชุบเลี้ยงอีกทั้งยังมอบเบี้ยรางวัลแกขุนนางที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงค้นพบถึงการกระทำเพทุบายและฉ้อราษฎบังหลวงร้ายแรงในท้องพระคลังรัสเซียด้วย อีกทั้งพระองค์ได้ทรงล้มเลิกกฎหมายของพระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ว่าด้วยการสำเร็จโทษทางร่างกายโดยอิสระและทรงปรับเปลี่ยนใหม่อย่างสิ้นเชิงซึ่งเอื้อความชอบธรรมให้แกชนชั้นล่างมากขึ้น และทรงปรับเปลี่ยนวิธีการทำกสิกรรมของชาวรัสเซียให้ดีขึ้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นนโยบายที่กลั่นแกล้งชนชั้นขุนนางและเป็นการชักชวนให้ผู้ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ล้มเลิกแผนการโค่นล้มพระองค์
กลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดการลอบปลงพระชนม์ได้จัดตั้งขึ้นหนึ่งเดือนก่อนการลงมือ โดยประกอบด้วย เคาท์ปิออตร์ อเล็กเซเยวิช ปาห์เลน, นิคิตา เปโตรวิช ปานิน, และพลเรือเอกโจเซ เด ริบาส โดยเป็นพลเรือลูกครึ่งสเปน-เนเปิลส์ ซึ่งการเสียชีวิตของเขาทำให้การลอบปลงชนม์ล่าช้าออกไป โดยในคืนวันที่ 23 มีนาคม (นับตามแบบเก่า: 11 มีนาคม) พ.ศ. 2344 พระจักรพรรดิพอลล์ถูกปลงพระชนม์บนแท่นพระบรรทมในห้องบรรทมใหม่เอี่ยม ณ พระตำหนักในพระราชวังเซนต์ไมเคิล โดยความร่วมมือจากการที่นายพลเบนนิกเซนออกคำสั่งยกเลิกประจำการบริเวณพระตำหนักของเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาพระองค์ ผู้ซึ่งเป็นชาวฮันโนเวอร์ในราชสำนักรัสเซีย อีกทั้งจากความร่วมมือของนายพลยาชวิลชาวจอร์เจีย โดยพวกเขาจู่โจมเข้าไปในห้องพระบรรทม ซึ่งก่อนหน้าที่ยังทรงพระกระยาหารค่ำด้วยกันกับเหล่านายพล เหล่าผู้ก่อกบฏพบตัวพระองค์ซ่อนอยู่ในผ้าบริเวณมุมห้อง จากนั้นลากตัวพระองค์ออกมาและบังคับให้ไปยังโต๊ะทรงงาน จากนั้นบังคับให้ทรงลงพระนามในเอกสารสละราชสมบัติ แต่พระองค์ทรงขัดขืนแต่ต่อสู้ ผู้ร่วมก่อกบฏคนหนึ่งจึงแทงพระองค์ด้วยดาบ พระองค์ทรงถึงหายใจไม่ออกและทรงกล่าวเหยียดหยามต่อความตาย ราชบัลลังก์ตกมาเป็นของพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ แกรนด์ดยุคอเล็กซานเดอร์ที่ 1 โดยนายพลนิโคลัส ซูบอฟ หนึ่งในผู้ร่วมก่อกบฏได้กล่าวแนะนำให้พระองค์ขึ้นสืบราชบัลลังก์ โดยกล่าวกับอเล็กซานเดอร์ว่า
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/จักรพรรดิพอลที่_1_แห่งรัสเซีย